This is default featured slide 1 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.

วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

คนเลี้ยงแพะ


ขณะที่พาฝูงเเพะของตนไปหลบพายุในถ้ำ คนเลี้ยงเเพะก็พบ ฝูงเเพะป่าหลบอยู่ในถ้ำด้วยเช่นกัน“ฝูงเเพะป่านี้เป็นฝูงใหญ่ มีเเพะมากกว่าฝูงเเพะของเราหลาย เท่านัก เราน่าจะเอาเเพะป่าฝูงใหญ่ไปเลี้ยงเเทนฝูงเดิมดีกว่า”เมื่อคนเลี้ยงเเพะคิดได้ดังนั้นเเล้วก็นำเอาใบไม้ที่เตรียมมาไว้ให้ ฝูงเเพะเดิม ของตนไปให้ฝูงเเพะป่ากินจนหมดครั้นเมื่อพายุสงบลง ฝูงเเพะป่าก็วิ่งออกจากถ้ำเข้าป่าไป ฝูงเเพะเดิมของตนไปให้ฝูงเเพะป่ากินจนหมดครั้นเมื่อพายุสงบลง ฝูงเเพะป่าก็วิ่งออกจากถ้ำเข้าป่าไป ฝูงเเพะเดิมก็ตายกันหมดเพราะอดอาหารคนเลี้ยงเเพะจึงได้เเต่นั่งร้องไห้ให้เพื่อนบ้านหัวเราะเยาะต่อไป
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เห็นเเก่มิตรใหม่จนทอดทิ้งมิตรเก่า ก็จะไม่ได้ใครเลย

อ้างอิง www.whitemedia.org



คนขี้เหนียวกับทองคำ


ชายคนหนึ่งเป็นคนขี้เหนียว เขามักจะเอาสมบัติฝังดิน ไว้รอบๆ บ้านไม่ยอมนำมาใช้จ่ายให้เกิดประโยชน์ต่อ มาเขากลัวว่าจะไม่ปลอดภัยถ้าฝังเงินทอง ไว้หลาย เเห่ง เขาจึงขายสมบัติทั้งหมดเเล้วซื้อทองคำเเท่งหนึ่ง มาฝังไว้ที่หลังบ้าน เเล้วหมั่นไปดูทุกวันคนใช้ผู้หนึ่งสงสัยจึงเเอบตามไปดูที่หลังบ้าน เเล้วก็ขุด เอาทองเเท่งไปเสียชายขี้เหนียวมาพบหลุมที่ว่างเปล่าในวันต่อมาก็เสียใจ ร้องห่มร้องไห้ไปบอกเพื่อนบ้านคนหนึ่งเพื่อนบ้านจึงเเนะนำประชดประชันว่า“ท่านก็เอาก้อนอิฐใส่ในหลุมเเล้วคิดว่าเป็นทองคำสิ เพราะถึงอย่างไรท่านก็ไม่เอาเอามาใช้อยู่เเล้ว”
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ของมีค่า ถ้าไม่นำมาทำให้เกิดประโยชน์ก็ย่อมเป็นของไร้ค่า
อ้างอิง www.whitemedia.org


แมวเป็นเพื่อนกับเสือ

ณ.หมู่บ้านใกล้ชายป่าแห่งนี้ มีครอบครัวที่เจ้าของเลี้ยงแมวที่มีลักษณะนิสัยขี้อ้อน ชอบส่งเสียงเวลาเจ้าของกลับมาถึงบ้าน แต่แล้วเจ้าแมวตัวนี้เกิดซนวิ่งออกนอกบ้าน พลัดหลงเข้าไปในป่าใหญ่ หาทางกลับมาที่บ้านไม่เจอ
แมวตัวนี้ก็เดินทางไปเรื่อยๆ หวังว่าจะพบทางออก มิได้ประสบกับอันตรายใดๆเลย อีกทั้งยังได้พบเข้ากับเสือผู้ใจดี 
"อ้าว... เจ้าเหมียว เจ้าเข้ามาทำอะไรที่นี่ มันอันตรายนะ แต่หากเจ้าไม่มีที่ไปจริงๆแล้วล่ะก็ เจ้าก็มาอยู่กับข้าทีนี่ก็ได้นะ" แม่เสือเอ่ยปากถามเจ้าแมวเหมียว 
 แมวเหมียวขี้อ้อนเมื่อหมดหนทางไป จึงตัดสินใจอาศัยอยู่กับแม่เสือ เติบโตมาพร้อมกับลูกเสือ เป็นทั้งเพื่อนเล่น และ เพื่อนที่คอยล่าสัตว์ด้วยเสมอ 
เมื่อเวลาผ่านไป .. จากเจ้าแมวที่เคยขี้อ้อน ได้กลับกลายเป็นแมวป่าที่แสนจะดุร้ายเลยทีเดียว 

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนเราแปรเปลี่ยนไปได้ตามสภาพแวดล้อมและวิธีการเลี้ยงดู

 อ้างอิง http://fable.kippo.com


กำเนิดทะเลทาย

โลกทุกวันนี้ที่เราอาศัยอยู่กันนั้น เมื่อครั้งอดีตกาลนานมาแล้ว เชื่อกันว่ามีพระผู้เป็นเจ้าสร้างโลกใบนี้ไว้อย่างสวยงาม มีต้นไม้เขียวชอุ่ม สัตว์น้อยใหญ่อยู่อย่างสงบสุข ไม่มีดินแดนใดที่เป็นทะเลทรายที่แสนแห้งแล้งเลย
แต่แล้วพระเจ้าผู้สร้างโลก ก็จะได้สร้างคำสาปเพื่อหวังให้มนุษย์เคารพในกฏกติกา ว่า
"ทุกครั้งที่พวกเจ้าทำผิดศีลธรรม ทรายก็จะตกจากฟากฟ้าลงมาบนพื้นโลกหนึ่งเม็ด" 
เหล่ามนุษย์ทั้งหลาย ต่างพากันหัวเราะเยาะกับคำสาปนี้ว่า 
"เพียงทรายเม็ดเดียว จะเป็นอะไรนักหนาเล่า" 
เขาเหล่านั้นไม่เกรงกลัวต่อสิ่งที่เขาจะต้องเผชิญในอนาคต
เมื่อนานวันผ่านไป โลกที่เคยแสนสวยงามของมนุษย์ทั้งหลาย เริ่มเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากเม็ดทรายที่หล่นจากฟากฟ้านั้น ก่อให้เกิดความแห้งแล้งของทะเลทราย เพราะความผิดของมนุษย์ที่กระทำได้ไม่เว้นวัน ทรายที่ตกลงมาจึงมีจำนวนมหาศาล กลายเป็นทะเลทรายที่แห้งแล้งในที่สุด

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
การกระทำผิดเล็กๆน้อยๆ เมื่อทำบ่อยครั้งก็จะก่อเกิดเป็นภัยอันใหญ่หลวงภายหลังได้

 อ้างอิง http://fable.kippo.com


ชาวนากับเทพพระเจ้าโชคดี

ชาวนาคนหนึ่งทำนามาเนิ่นนาน แต่ก็ยังมีฐานะยากจนเหมือนเคย ในแต่ละวันเขาได้บูชาศาลเทพเจ้าแห่งหนึ่งเป็นประจำ เพื่อหวังว่า เทพเจ้าจะช่วยทำให้เขาร่ำรวยมากขึ้น
วันหนึ่งที่ชาวนากำลังดำนาอยู่
"ข้ารวยแล้ว ข้ากำลังจะรวยแล้ว" ชาวนาตะโกนออกมาสุดเสียง เมื่อเขาพบเจอหีบสมบัติโบราณที่ฝังอยู่อย่างบังเอิญ
"ขอบคุณท่านมาก ที่มอบสมบัติอันมหาศาลมาให้ข้า" ชาวนายกมือไหว้ พร้อมทั้งนำของมาบูชาศาลเทพเจ้าที่นับถือเหมือนเช่นเคย
"ทำไม !!! ทำไมกันนะ เจ้าถึงไม่ขอบคุณข้าล่ะ เพราะจริงๆแล้ว ข้าต่างหากที่เป็นคนมอบของนี้ให้กับเจ้า มิใช่ศาลเทพเจ้า ที่เจ้ากำลังขอบคุณอยู่" เทพเจ้าแห่งความโชคดีส่งเสียงพูดกับชาวนา


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
คนเราเมื่อศรัทธาหรือเชื่ออะไรแล้ว มักจะเชื่อว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้เราเกิดความโชคดี ทั้งที่จริงแล้ว อาจจะเป็นสิ่งอื่นก็ได้

 อ้างอิง http://fable.kippo.com


หนูกับกบตัวแสบ

หนูตัวหนึ่งมีสหายรักเป็นเจ้ากบ วันหนึ่งเพื่อนกบได้มาเอ่ยปากชวนหนูไปเที่ยว
"นี่เจ้าหนู .. พรุ่งนี้ข้าเห็นว่าเจ้าว่าง สนใจไปเที่ยวกับข้าไหม"
"ไปไหนล่ะ" เจ้าหนูถาม
"เดี๋ยวก็รู้ บอกไปก่อนก็ไม่ตื่นเต้นน่ะสิ" เจ้ากบตอบ
"นี่ไง ข้าพาเจ้ามาเที่ยวบ้านที่ข้าอยู่" เจ้ากบหมายถึงบ่อน้ำแห่งหนึ่ง ที่อยู่ไม่ไกล จากบ้านของเจ้าหนู 
จากนั้นเจ้ากบก็ได้ชวนหนูลงไปเล่นน้ำในบ่อด้วยกันอีกด้วย
"ไม่ไหวหรอก ข้าว่ายน้ำไม่เป็น" เจ้าหนูบอกกบเพื่อนรัก
"ไม่เป็นอันตรายอะไรหรอก มีข้าอยู่ ไม่ยอมปล่อยให้เจ้าเป็นอะไรแน่นอน"  เจ้ากบตอบ
เจ้า หนูไว้ใจกบจึงลงไปเล่นน้ำอย่างสบายใจ โดยเกาะหลังเจ้ากบเล่นอยู่ในสระ แต่แล้ว เจ้ากบก็คิดสนุก อยากหักหลังเพื่อนหนูขึ้นมา จึงทำทีดึงเจ้าหนูจมลงไปในน้ำ จนสุดท้ายเจ้าหนูเพื่อนของมันก็ตาย ตกเป็นอาหารของเจ้ากบจอมแสบ


นิทานเรื่องนี้สอนใจรู้ว่า
ควรรู้จักประมาณตนก่อนที่จะทำอะไรลงไป 

อ้างอิง http://fable.kippo.com



สุนัขจิ้งจอกในดงหนาม

ในเช้าวันที่อากาศแจ่มใส นายพรานคนหนึ่งออกล่าสุนัขจิ้งจอกจอมเกเรในป่าใหญ่แห่งหนึ่ง
เจ้าสุนัขจิ้งจอกวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต จนไปถึงพุ่มไม้หนึ่ง มันกระโดดเข้าไปหลบจนพ้นจากสายตาของนายพรานได้
"โอ๊ย.....โอ๊ย เจ็บเหลือเกิน " เจ้าสุนัขจิ้งจอกร้องด้วยความเจ็บ เพราะในพุ่มไม้ที่มันกระโดดเข้าไปหลบภัยเมื่อครู่นี้ เต็มไปด้วยหนามแหลมคมทั้งนั้น ทำให้เจ้าสุนัขจิ้งจอกเกิดรอยแผลหลายแห่งเลยทีเดียว
"หยุดร้องครวญครางสักทีเถอะ อย่างน้อยเจ้าก็คิดเสียว่าเป็นแผล เดี๋ยวก็หาย ซึ่งดีกว่าที่เจ้าจะต้องเสียชีวิตไปน่ะ "  พุ่มไม้หนามบอกสุนัขเจ้าจิ้งจอก


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า 
ไม่ควรครวญครางในปัญหาเล็กๆน้อยๆ ที่จะได้มาซึ่งประโยชน์มหาศาล

อ้างอิง http://fable.kippo.com



สุนัขในรางหญ้า

ณ.คอกวัวของชายคนหนึ่ง เขาเลี้ยงวัวด้วยหญ้าเป็นประจำ เพื่อนำผลิตภัณฑ์จากวัวไปขาย
ณ. รางหญ้าของเจ้าวัว วันหนึ่งมีเจ้าหมาจอมอิจฉาตัวหนึ่งต้องการงีบหลับกระโดดขึ้นไปนอนอยู่บนนั้น
"อ้าว..เจ้าหมามานอนทำอะไรอยู่" เจ้าวัวพูดกับเจ้าหมาด้วยความงุนงง
"หลบไปนะ ข้าจะกินอาหารของข้าแล้ว" เจ้าวัวตะโกนไล่เจ้าหมาให้ออกไปจากกองหญ้า
"ข้าจะนอนขวางเจ้าอยู่ตรงนี้แหละ เจ้าไม่ได้กินหญ้านี้หรอก" เจ้าหมาตอบอย่างไร้เยื่อใย
"ทำไมเจ้าต้องทำแบบนี้ด้วย" เจ้าวัวถาม
เจ้าหมาตอบด้วยท่าทีกวนๆว่า "ก็เพราะข้ากินหญ้านี่ไม่ได้ ใครหน้าไหนก็อย่าหวังได้กินเลย"
เจ้าวัวรู้สึกโมโหมาก แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรเจ้าหมาจอมกวนนั่น แล้วก็เดินจากไปด้วยความหิวโหย


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
คนพาลมักชอบอิจฉาผู้อื่น และขัดขวางคนอื่น แม้ว่าตนจะหาประโยชน์จากของสิ่งนั้ไม่ได้

อ้างอิง http://fable.kippo.com


แม่กวางกับลูกกวาง

ครั้งหนึ่ง แม่กวางเคยสงสัยว่า ทำไมลูกกวางของมันที่เป็นกวางหนุ่มที่มีรูปร่างกำยำ แข็งแรง มีเขาอันทรงพลัง จะต้องมาหนีเจ้าหมาล่าเนื้อทุกครั้งไป
เจ้ากวางก็ตอบแม่กวางไม่ได้เหมือนกัน เพราะอะไร ถึงจะต้องหนีการไล่ล่า
"โฮ่ง โฮ่ง " เสียงเห่าจากหมาล่าเนื้อค่อยๆดังขึ้น ก้องในป่า ใกล้ๆกับกวางแม่ลูก
"แม่รักลูกนะ หนีเร็ว ไม่ต้องสนใจแม่" 
แม่กวางบอกลูกของตน พลางวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต ลูกกวางเองก็วิ่งสุดกำลังออกจากที่นั่นเหมือนกัน


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
บางเรื่องเราสามารถรู้ได้โดยสัญชาตญาตของเรา

อ้างอิง http://fable.kippo.com

สิงโตป่วย

สิงโตเฒ่าตัวหนึ่งล้มป่วย วันๆก็ได้แต่นอนอยู่ในถ้ำของมันเท่านั้น
ด้วยความที่สิงโตเฒ่าตัวนี้ถือเป็นอดีตเจ้าป่า จึงมีบรรดาสัตว์น้อยใหญ่มาเยี่ยมอยู่เสมอๆ
บรรดาสัตว์ต่างๆ ที่เข้าถ้ำของเจ้าสิงโตตัวนี้ ล้วนตกเป็นอาหารของมันทั้งสิ้น
เมื่อได้กินอาหาร สิงโตเฒ่าก็อาการดีขึ้น 
ภายหลังสิงโตเจ้าเล่ห์ก็คิดอุบาย วางแผนแกล้งป่วย เพื่อได้อาหารกินโดยง่าย
"ท่านเป็นยังไงบ้าง หายดีหรือยังท่านสิงโต"
หมาป่าตัวหนึ่งตะโกนอยู่ที่ปากทางเข้าถ้ำ
"เจ้าเข้ามาช่วยข้าหน่อยนะ ข้าจะตายอยู่แล้ว"
สิงโตแกล้งทำเป็นป่วย หวังว่าเจ้าหมาป่าจะเข้ามา
แต่หมาป่าก็ไม่ได้เข้าใจ เพราะมันสังเกตเห็นรอยเท้าของสัตว์น้อยใหญ่ที่มาเยี่ยมก่อนหน้านี้ ไม่มีใครเคยได้ออกมาอีกเลย



นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า 
อย่าไว้วางใจคนพาล แม้ในยามที่เขาดูเป็นคนที่ดูเหมือนไม่มีอันตราย

อ้างอิง http://fable.kippo.com

ดวงอาทิตย์แต่งงาน


กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว มีข่าวลือมาถึงหูของเหล่าสัตว์น้อยใหญ่ว่า ดวงอาทิตย์กำลังจะแต่งงาน บรรดาสัตว์ต่างๆพากันดีใจ และอยากได้รับเกียรติในการร่วมงานแต่งครั้งนี้
เจ้ากบหนุ่มเสนอว่า “พวกเราน่าจะจัดงานฉลองให้กับดวงอาทิตย์กันนะ”
“เจ้าแน่ใจแล้วหรือ ?” เจ้าคางคกอาวุโสพูดขึ้น
“เจ้า ลองคิดดีๆนะ หนองน้ำที่เคยเปี่ยมล้นไปด้วยน้ำใสบริสุทธิ์ แค่พระอาทิตย์ดวงเดียวยังทำให้หนองน้ำขอดแห้งได้ หากดวงอาทิตย์แต่งงาน แล้วมีลูกมีหลานออกมา ทีนี้เราจะอยู่กันอย่างไรล่ะ ? 

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า  อย่ามัวแต่ตื่นเต้นกับเรื่องของคนอื่น เพราะมันอาจจะเป็นภัยต่อเราเองได้

อ้างอิง http://fable.kippo.com


สิงโตกับลา

ณ.ถ้ำในป่าลึกแห่งหนึ่ง สิงโตและลาผู้เป็นสหายตกลงกันว่าจะไปล่าเหยื่อด้วยกัน
"นี่เจ้าลาในถ้ำนี้มีแพะอาศัยอยู่เยอะทีเดียว เราไปล่าพวกมันกันเถอะ" เจ้าสิงโตเอ่ยปากชวนลา
เจ้าลาไม่รอช้า รีบวิ่งเข้าไปในถ้ำ แล้วบอกสิงโตว่า 
"เจ้ารอจับแพะตรงนี้ที่ปากถ้ำนะสหาย"
จากนั้นเจ้าลาเข้าในไปถ้ำด้วยความฮึกเหิม 
ทั้งส่งเสียงร้อง กระทืบเท้าอย่างเต็มกำลัง ทำให้เหล่าแพะหนีมาที่หน้าถ้ำ
เจ้าสิงโตมิรอช้า เมื่อแพะวิ่งมาที่หน้าถ้ำ ก็จับตะครุบได้หลายตัวอย่างง่ายดาย
"ข้าไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ว่าเจ้าจะมีฝีมือขนาดนี้" สิงโตเอ่ยชมเจ้าล่าที่ทำท่าภาคภูมิใจมาก


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า 
คนโง่เขลาเบาปัญญา มักเข้าใจว่าตนเองเก่งและฉลาดอยู่เสมอ


อ้างอิง http://fable.kippo.com




สุนัขกับกระต่ายป่า


สุนัขบ้านตัวหนึ่ง เวลาที่มันเจอกระต่ายป่าที่มาใกล้ๆที่อยู่อาศัยของมัน มันก็จะคอยวิ่งไล่กระต่ายตัวนี้อย่างไม่ลดละความพยายาม ถ้ามันไล่ทันกระต่าย สุนัขก็จะใช้เขี้ยวตะปบกระต่าย ราวกับว่ามันจะได้กระต่ายตัวนี้มาเป็นอาหาร แต่บางครั้งก็ทำทีเหมือนหยอกล้อเล่น เหมือนกับเจ้ากระต่ายป่าตัวนี้เป็นเพื่อนของมันเลยทีเดียว
เป็นเหตุให้กระต่ายป่ายังคงฉงนในใจว่าเจ้าสุนัขคิดอะไรอยู่กันแน่
"เจ้าต้องการอะไรจากข้ากันแน่เจ้าสุนัข" กระต่ายป่าถามอย่างจริงจัง 
"ข้าอยากรู้ว่า เจ้าเห็นข้าเป็นอะไร มิตรหรือศัตรู ช่วยตอบให้ข้าเข้าใจทีเถิด"
แต่ก็ไม่มีการตอบกลับใดๆจากเจ้าสุนัขบ้าน แต่มันยังคงมีท่าทีให้ฉงนแก่ใจกระต่ายอยู่ร่ำไป


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
คนชั่วมักมีเล่ห์กลหลอกให้ตายใจ


อ้างอิง http://fable.kippo.com

นิทานเรื่องงูพิษกับนกอินทรี


กลางทุ่งหญ้าใหญ่แห่งหนึ่ง มีงูพิษตัวหนึ่งกำลังเลื้อยวนไปวนมาอยู่ ทันใดนั้นเองก็มีพญาอินทรีบินโฉบ เฉี่ยวลงมาจากฟากฟ้า หวังว่าจะคาบงูตัวนี้กินเป็นอาหาร  แต่งูพิษตัวนั้นฉลาดหลักแหลม รู้ทันว่ากำลังจะมีภัยมาถึงตัว มันจึงรัดรอบตัวนกอินทรีไว้ได้ก่อนในขณะที่ทั้งสองตัวต่อสู้กันอย่างดุเดือดอยู่นั้นเอง ก็มีชาวนาคนหนึ่งได้เห็นเหตุการณ์จึงตรงเข้าไปช่วย
เจ้าหญาอินทรีให้พ้นจากความตาย"เจ้านกอินทรี เจ้าบาดเจ็บมากไหม หากเจ้าบินหนีไปได้ เจ้าจงไปเถอะนะ" ชาวนาพูดกับเจ้าอินทรี"สิ้นเสียงของชาวนา พญาอินทรีก็บินหนีหายไปแต่ด้วยความแค้นของเจ้างูพิษ ที่ฝังใจว่า หากชาวนาไม่เข้ามายุ่ง ตนก็จะได้จับกินพญานกอินทรีแล้ว จึงจงใจคายพิษลงในแก้วน้ำของชาวนาขณะที่ชาวนากำลังจะยกแก้วน้ำที่งูพิษคายพิษไว้ขึ้นดื่มนั้น พญานกอินทรีตัวเดิมก็ได้บินถลาลงมาชนแก้วน้ำให้หล่นลงมา ชาวนาจึงรอดพ้นจากพิษร้ายจากงูตัวนั้น

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าทำคุณกับใครไว้ สักวันย่อมได้ผลแห่งการทำดีตอบแทนแน่นอน

อ้างอิง http://fable.kippo.com


บันทึกประจำวันที่17/2/55

ฉันตื่่นเช้ามาก็ล้างหน้าแปรงฟันและก็รับประทานอาหาร แล้วก็อาบน้ำและเข้าไปแต่าตัวตัวแต่เพื่อนของฉันก็มาหาที่บ้านและก็ไปทำรายงานที่บ้านเพื่่อนฉัน พอเสร็จตอนเที่ยงก็ไปร้านอาหารซึ่งกินข้าวมันไก่กับเพื่อนๆพอกลับมาบ้านก็ทำการบ้านอีกมากมายและก็ออกกำลังกายและอาบน้ำรับประทานอาหารเย็นเสร็จดูละครและก็เข้านอน.

วันพฤหัสบดีที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

บันทึกประจำวันที่ 7/2/56

ฉันตื่นนอนประมาณ 6.40 น. ล้างหน้าแปรงฟัน รับประทานอาหารเช้า และก็ไปโรงเรียนทำพิธีหน้าเสาธงเสร็จก็เรียนอีกประมาณ 4 คาบ เมื่อตอนพักเที่ยงก็รับประทานอาหารกลางวัน แต่วันนี้ไม่ได้เรียนลูกเสือเพราะโรงเรียนได้จัดงานวันวาเรนไทน์และงานตรุษจีนด้วย และฉันก็ได้ดูการประกวดเดือนและดาวสนุกมาๆและก็กลับบ้าน.

หนูคิดปราบแมว


นหนึ่งบรรดาหนูทั้งหลายได้นัดประชุมพร้อมกันที่ใต้ถุนบ้านหลังใหญ่ที่มีเจ้าแมวเกเรอาศัยอยู่ 

 พวกหนูทั้งหลายประชุมวางแผนกันว่าจะหาวิธีปราบเจ้าแมวที่คอยมาไล่ล่าเอาชีวิตพวกมันอยู่ทุกวันอย่างไรดี 

"ข้ารู้แล้ว ว่าพวกเราควรกำจัดเจ้าแมวนั้นอย่างไร" เจ้าหนูหนุ่มตัวหนึ่งลุกขึ้นพูดอย่างกล้าหาญ 

"แล้วพวกเราจะทำยังไงล่ะ" หัวหน้าหนูถาม 

 "พวกเราก็แค่เอากระดิ่งไปติดไว้กับที่คอเจ้าแมว เวลามันเดินจะได้ส่งเสียงให้รู้ตัวไง" เจ้าหนูหนุ่มตอบ 

เหล่าบรรดาหนูที่ประชุมทุกตัวก็ชื่นชมในความคิดที่ปราดเปรื่องของเจ้าหนูหนุ่มตัวนั้น 

"ว่าแต่ใครจะเอากระดิ่งไปให้เจ้าแมวล่ะ" หนูตัวหนึ่งถามขึ้น 

 หนูทุกตัวไม่มีใครอาสาสักตัวรวมทั้งหนูผู้เสนอความคิดด้วย 

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า 
การคิดเป็นเรื่องง่าย แต่จะลงมือทำนั้นยากกว่า 



อ้างอิงจาก http://fable.kippo.com/view/547/

สัตว์ป่าสงวน


สัตว์ป่าสงวน หมายถึง สัตว์ป่าที่หายาก กำหนดตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2503 จำนวน 9 ชนิด เป็นสัตว์ป่าเลี้ยงลูกด้วยนมทั้งหมด ได้แก่ แรด กระซู่ กูปรี ควายป่า ละองหรือละมั่ง สมัน เนื้อทราย เลียงผา และกวางผา
สัตว์ป่าสงวนเป็นสัตว์หายาก, ใกล้จะสูญพันธุ์ หรืออาจจะสูญพันธุ์ไปแล้ว จึงจำเป็นต้องมีบทบัญญัติเข้มงวดกวดขัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายแก่สัตว์ป่าที่ยังมีชีวิตอยู่หรือซากสัตว์ป่า ซึ่งอาจจะตกไปอยู่ยังต่างประเทศด้วยการซื้อขาย ต่อมาเมื่อสถานการณ์ของสัตว์ป่าในประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไป สัตว์ป่าหลายชนิดมีแนวโน้มถูกคุกคามเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์มากยิ่งขึ้น ประกอบกับเพื่อให้เกิดความสอดคล้องกับความร่วมมือระหว่างประเทศในการ ควบคุมดูแลการค้าหรือการลักลอบค้าสัตว์ป่าในรูปแบบต่าง ๆ ตามอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศว่าด้วยชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าหรือ CITES ซึ่งประเทศไทยได้ร่วมลงนามรับรองอนุสัญญาในปี พ.ศ. 2518 และได้ให้สัตยาบัน เมื่อวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2526 นับเป็นสมาชิกลำดับที่ 80 จึงได้มีการพิจารณาแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติฉบับเดิมและตราพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 ขึ้นใหม่เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535
สัตว์ป่าสงวนตามในพระราชบัญญัติฉบับใหม่ หมายถึง สัตว์ป่าที่หายากตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัติฉบับนี้และตามที่กำหนดโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ทำให้สามารถเปลี่ยนแปลงชนิดสัตว์ป่าสงวนได้โดยสะดวกโดยออกเป็นพระราชกฤษฎีกาแก้ไขหรือเพิ่มเติมเท่านั้น ไม่ต้องถึงกับต้องแก้ไขพระราชบัญญัติอย่างของเดิม ทั้งนี้ได้มีการเพิ่มเติมชนิดสัตว์ป่าที่มีสภาพล่อแหลมต่อการสูญพันธุ์อย่างยิ่ง 7 ชนิด และตัดสัตว์ป่าที่ไม่อยู่ในสถานะใกล้จะสูญพันธุ์ เนื่องจากการที่สามารถเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ได้มาก 1 ชนิด คือ เนื้อทราย รวมกับสัตว์ป่าสงวนเดิม 8 ชนิด รวมเป็น 15 ชนิด[1] ได้แก่
นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร (Pseudochelidon sirintarae)
แรด (Rhinoceros sondaicus)
กระซู่ (Dicerorhinus sumatrensis)
กูปรีหรือโคไพร (Bos sauveli)
ควายป่า (Bubalus bubalis)
ละอง หรือละมั่ง (Rucervus eldi)
สมัน หรือเนื้อสมัน (Rucervus schomburki)
เลียงผา หรือเยือง หรือกูรำ หรือโครำ (Capricornis sumatraensis)
กวางผา (Naemorhedus griseus)
นกแต้วแล้วท้องดำ (Pitta gurneyi)
นกกระเรียนไทย (Grus antigone)
แมวลายหินอ่อน (Pardofelis marmorata)
สมเสร็จ (Tapirus indicus)
เก้งหม้อ (Muntiacus feai)
พะยูน หรือหมูน้ำ (Dugong dugon)


อ้างอิง  http://th.wikipedia.org

วิธีทำน้ำเต้าหู้




          "น้ำเต้าหู้"  หรือ "นมถั่วเหลือง" แหล่งโปรตีนชั้นดีสำหรับผู้ที่ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ หรือสำหรับคนที่บริโภคเนื้อสัตว์ ก็สามารถดื่มน้ำเต้าหู้เป็นอาหารเสริมได้ เพราะถั่วเหลืองที่นำมาทำน้ำเต้าหู้นั้นมีโปรตีนสูง และมีคุณค่าทางโภชณาการใกล้เคียงกับโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ถ้าเราบริโภคถั่วเหลืองในปริมาณที่สูงพอ ร่างกายของเราก็จะได้รับโปรตีนเพียงพอกับความต้องการได้

          นอกจากนี้ ในถั่วเหลืองยังอุดมไปด้วยสารอาหารอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามิน A, B, B1, B2, B6, B12 ไนอาซิน และวิตามิน C, D, E และในเมล็ดถั่วเหลืองยังมี "เลซิทิน" อันเป็นสารบำรุงสมอง เพิ่มความทรงจำ ลดไขมัน และลดคอเลสเตอรอลในร่างกายได้อีกด้วย

          ทั้งนี้ การดื่มน้ำเต้าหู้จะได้รับประโยชน์กว่าเครื่องดื่มอื่นๆ ถ้าเทียบกับนมธรรมดาแล้ว น้ำเต้าหู้จะมีข้อดีกว่า แต่บางอย่างก็จะสู้นมธรรมดาไม่ได้ โดยน้ำเต้าหู้ให้โปรตีนเกือบเท่านมธรรมดาทั่วไป มีไขมันที่ดีกว่าคือให้กรดไขมันไม่อิ่มตัวมากกว่า และช่วยลดคอเลสเตอรอล สำหรับข้อเสีย คือ น้ำเต้าหู้จะให้แคลเซียมได้น้อยมาก ดังนั้น จึงควรรับประทานอาหารอื่นที่มีแคลเซียมควบคู่กันไปด้วย เช่น ปลาทอดกรอบ ผักคะน้า กวางตุ้ง เป็นต้น

          อย่างไรก็ตาม วันนี้เรามีวิธีการทำน้ำเต้าหู้มาแนะนำ เผื่อว่าเพื่อนๆ คนไหนอยากลองทำดื่มเองกันบ้าง...

            ส่วนผสม

            ถั่วเหลืองเลาะเปลือกแยกกากและเศษผงออก 1 ถ้วย
            น้ำสะอาด 7 ถ้วย
            น้ำตาลทราย 3/4 ถ้วย

           วิธีทำน้ำเต้าหู้

            1. ล้างทำความสะอาดถั่วให้สะอาดแล้วแช่น้ำไว้อย่างน้อย 6 ชั่วโมง
            2. โม่หรือบดถั่วให้ละเอียด กรองด้วยผ้าขาวบางแยกน้ำออก หากมีเครื่องแยกกากก็ใช้เครื่องแยกกากก็ได้ค่ะ
            3. นำขึ้นตั้งไฟ ตอนใกล้ๆ เดือดต้องคอยคนอยู่เสมอเพื่อไม่ให้ไหม้
            4. ใส่น้ำตาลทราย คนให้ละลายแล้วปิดไฟ อาจแยกบางส่วนไม่ใส่น้ำตาลทรายเลยก็ได้ แล้วแต่ชอบ
 
ทั้งนี้ จุดสำคัญของการทำน้ำเต้าหู้อยู่ที่ขั้นตอนการทำ ต้องหมั่นคน มิฉะนั้นจะมีกลิ่นไหม้ค่ะ
 
           วิธีทำเครี่องน้ำเต้าหู้

           "ลูกเดือย" นำลูกเดือยมาแช่น้ำประมาณ 1 ชั่วโมง นำลงต้มในน้ำจนเดือด จากนั้นลดไฟลงและเคี่ยวต่อจนเปื่อย ใช้เฉพาะส่วนที่เป็นเนื้อลูกเดือย ส่วนที่เป็นน้ำเททิ้งไป
 
            "วุ้น" นำน้ำขึ้นตั้งไฟต้มจนเดือด ระหว่างนั้นนำผงวุ้นละลายในน้ำธรรมดา พักไว้ เทน้ำที่ต้มไว้แล้วลงในถาดโลหะอาจเป็นถาดอลูมิเนียมหรือถาดสแตนเลสก็ได้ นำผงวุ้นที่ละลายน้ำไว้แล้วเทลงในถาดใช้ช้อนคนให้ทั่วทั้งถาด... รอให้เย็นวุ้นก็จะแข็งเป็นก้อน เมื่อแข็งเป็นก้อนแล้วจึงใช้มีดตัดออกเป็นก้อนสี่เหลี่ยมขนาดประมาณ 3 คูณ 3 เซนติเมตร และซอยออกเป็นเส้นเล็กๆ อีกครั้งหนึ่ง

            "สาคู" นำน้ำขึ้นตั้งไฟให้เดือด เทสาคูลงไป ต้มจนน้ำเดือดอีกครั้ง จากนั้นปิดไฟปล่อยไว้ให้เย็นแล้วเทน้ำทิ้งไป ทำเช่นนี้สองครั้งก็จะได้สาคูที่นุ่มลิ้นและอร่อยฃ



 








อ้างอิงจาก http://health.kapook.com/view3804.html

วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ดอกไม้ประจำชาติไทย

จากอดีตที่ผ่านมากว่า 50 ปี ทางราชการมีความพยายามหลายครั้งในการกำหนดให้มีสัญลักษณ์ประจำชาติไทย โดยเฉพาะการกำหนด ต้นไม้ และ ดอกไม้ ประจำชาติ เริ่มต้นที่กรมป่าไม้ได้ชักชวนให้ประชาชนสนใจต้นราชพฤกษ์หรือคูณมาตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ.2494 โดยรัฐบาลมีมติให้ถือวันที่ 24 มิถุนายน เป็นวันต้นไม้ประจำปีของชาติ (arbour day) มีการชักชวนให้ปลูกต้นไม้ที่มีประโยชน์ชนิดต่างๆ มากมาย ในขณะเดียวกันก็ได้มีการเสนอว่า ต้นราชพฤกษ์ น่าจะถือเป็นต้นไม้ประจำชาติ

ราชพฤกษ์             กระทั่งในปี พ.ศ.2506 มีการประชุมเพื่อกำหนดสัญลักษณ์ต้นไม้และสัตว์ประจำชาติเป็นครั้งแรก โดยกรมป่าไม้ได้เสนอให้ ต้นราชพฤกษ์ หรือ ต้นคูณ ไม้มงคลที่มีประโยชน์และรู้จักกันอย่างแพร่หลายเป็นต้นไม้ประจำชาติ สำหรับสัตว์ประจำชาติก็คือ ช้างเผือก สัตว์ที่มีคุณค่าเกี่ยวข้องกับประเพณีไทยและประวัติศาสตร์ไทยมายาวนาน การเสนอครั้งนั้นไม่ได้มีการประกาศอย่างเป็นทางการ ดังนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมาสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นไทยจึงมีหลากหลาย ตั้งแต่สถานที่สำคัญๆ  สัตว์ ดอกไม้ ที่คนไทยคุ้นเคยและพบเห็นบ่อย เช่น พระปรางค์วัดอรุณฯ เรือสุพรรณหงส์ ดอกบัว ดอกมะลิ ดอกพุทธรักษา แมวไทย เช่นเดียวกับ ต้นราชพฤกษ์ และ ช้างเผือก ยังคงถูกยกย่องให้เป็นสัญลักษณ์ประจำชาติตลอดมา

            ปี พ.ศ.2530 มีการส่งเสริมให้ปลูกต้นราชพฤกษ์อีกครั้ง เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เนื่องในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ โดยมีการส่งเสริมให้ปลูกต้นราชพฤกษ์ทั่วประเทศจำนวน 99,999 ต้น ทุกวันนี้จึงมีต้นราชพฤกษ์อยู่มากมายทั่วประเทศไทย

            ข้อสรุปเรื่องสัญลักษณ์ประจำชาติดูเหมือนจะยังไม่ชัดเจน กระทั่งช่วงปี พ.ศ.2544 คณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ ได้นำเรื่องดังกล่าวกลับมาเสนออีกครั้ง และมีข้อสรุปเสนอให้มีการกำหนดสัญลักษณ์ประจำชาติ 3 สิ่งคือ ดอกไม้ สัตว์และสถาปัตยกรรม และการพิจารณาที่ผ่านมาเสนอให้กำหนดดอกไม้ประจำชาติคือ ดอกราชพฤกษ์ สัตว์ประจำชาติ คือ ช้างไทย และสถาปัตยกรรมประจำชาติคือ ศาลาไทย

            เหตุที่เลือก ดอกราชพฤกษ์ เป็นดอกไม้ประจำชาติเพราะมีความเหมาะสมในหลายๆ ด้าน คือ เป็นดอกไม้จากต้นไม้ที่ถูกเสนอให้เป็นต้นไม้ประจำชาติเมื่อครั้งที่กรมป่าไม้เสนอไว้ เป็นต้นไม้ที่มีอายุยืน ทนทาน ปลูกขึ้นได้ดีทั่วทุกภาคของประเทศ เป็นต้นไม้พื้นเมืองที่รู้จักแพร่หลาย มีชื่อเรียกหลายชื่อต่างกันในแต่ละภาค เช่น ลมแล้ง คูน อ้อดิบ ราชพฤกษ์เป็นไม้มงคลใช้ประโยชน์ในพิธีสำคัญๆ เช่น ลงหลักเมือง ลงเสาเอก ทำคฑาจอมพลและยอดธงชัยเฉลิมพลของกองทหาร ในช่วงฤดูร้อนราชพฤกษ์จะออกดอกสะพรั่งทั้งต้น ช่อดอกมีรูปทรงสวยงาม สีเหลืองอร่ามเป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาประจำชาติ รวมทั้งเป็นสีเดียวกับวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ นอกจากนี้ความงามของช่อดอก และความหมายที่ดียังถูกจำลองแบบประดับไว้บนอินทรธนูของข้าราชการพลเรือนอีกด้วย

อ้างอิงจาก http://www.learners.in.th/blogs/posts/441833

คำกริยา


คำกริยา คือ คำที่แสดงอาการ สภาพ หรือการกระทำของคำนาม และคำสรรพนามในประโยค คำกริยาบางคำอาจมี
ความหมายสมบูรณ์ในตัวเอง บางคำต้องมีคำอื่นมาประกอบ และบางคำต้องไปประกอบคำอื่นเพื่อขยายความ
ชนิดของคำกริยา คำกริยาแบ่งออกเป็น 5 ชนิด ดังนี้
1. กริยาที่ไม่ต้องมีกรรมมารับ (อกรรมกริยา) เป็นกริยาที่มีความหมายสมบูรณ์ ชัดเจนในตัวเอง เช่น
ครูยืน
น้องนั่งบนเก้าอี้
ฝนตกหนัก
เด็กๆหัวเราะ
คุณลุงกำลังนอน
        2. กริยาที่ต้องมีกรรมมารองรับ (สกรรมกริยา) เป็นกริยาที่ต้องมีกรรมมารับจึงจะได้ใจความสมบูรณ์ เช่น
แม่ค้าขายผลไม้
น้องตัดกระดาษ
ฉันเห็นงูเห่า
พ่อซื้อของเล่นมาให้น้อง
         3. กริยาที่ต้องมีคำมารับ คำที่มารับไม่ใช่กรรมแต่เป็นส่วนเติมเต็ม (วิกตรรถกริยา) คือ คำกริยานั้นต้องมี
คำนามหรือสรรพนามมาช่วยขยายความหมายให้สมบูรณ์ เช่นคำว่า เป็น เหมือน คล้าย เท่าคือ เสมือน ดุจ เช่น
ชายของฉันเป็นตำรวจ
เธอคือนักแสดงที่ยิ่งใหญ่
ลูกดุจแก้วตาของพ่อแม่
แมวคล้ายเสือ
          4. กริยาช่วย (กริยานุเคราะห์) เป็นคำที่เติมหน้าคำกริยาหลักในประโยคเพื่อช่วยขยายความหมายของคำกริยาสำคัญ
ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่นคำว่า กำลัง จะ ได้ แล้ว ต้อง อย่า จง โปรด ช่วย ควร คงจะ อาจจะ เป็นต้น เช่น
เขาไปแล้ว
โปรดฟังทางนี้
เธออาจจะถูกตำหนิ
ลูกควรเตรียมตัวให้พร้อม
เขาคงจะมา
จงแก้ไขงานให้เรียบร้อย
         ข้อสังเกต กริยาคำว่า ถูก ตามปกติจะใช้กับกริยาที่มีความหมายไปในทางไม่ดี เช่น ถูกตี ถูกดุ ถูกตำหนิ ถ้าความหมายในทางดีอาจใช้คำว่า ได้รับ เช่น ได้รับคำชมเชย ได้รับเชิญ เป็นต้น
          5. กริยาที่ทำหน้าที่คล้ายนาม (กริยาสภาวมาลา) เป็นคำกริยาที่ทำหน้าที่คล้ายกับคำนาม อาจเป็นประธาน เป็นกรรม หรือบทขยายของประโยคก็ได้ เช่น
เขาชอบออกกำลังกาย (ออกกำลังกายเป็นคำกริยาที่ทำหน้าที่คล้ายนาม เป็นกรรมของประโยค)
กินมากทำให้อ้วน (กินมากเป็นกริยาที่ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค)
นอนเป็นการพักผ่อนที่ดี (นอนเป็นกริยาทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค)
หน้าที่ของคำกริยา มีดังนี้
1. ทำหน้าที่เป็นกริยาสำคัญของประโยค เช่น คนกินข้าว นกบินมาเป็นฝูง เป็นต้น
2. ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค เช่น กินมากทำให้อ้วน เป็นต้น
3. ทำหน้าที่เป็นกรรมของประโยค เช่น ฉันชอบเต้นแอร์โรบิกตอนเช้า เป็นต้น
4. ทำหน้าที่ช่วยขยายกริยาสำคัญให้มีความหมายชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น พี่คงจะกลับบ้านเย็นนี้ เป็นต้น
5. ทำหน้าที่ช่วยขยายคำนามให้เข้าใจเด่นชัดขึ้น เช่น ฉันชอบกินก๋วยเตี๋ยวผัด น้องชายชอบบะหมี่แห้ง เป็นต้น
 ( คงได้ความรู้ไปกันนะครับ )
อ้างอิงจากhttp://studentwork.srp.ac.th/Website/Thai/thai/data_13.html

บทสรรเสริญเจ้าแม่กวนอิม


นำโมไต๋ชื้อ ไต๋ปุย กิวโค่ว กิวหลั่ง กวงไต๋เล่งก้ำ กวงสี่อิมผู่สัก (กราบ)
นำโมไต๋ชื้อ ไต๋ปุย กิวโค่ว กิวหลั่ง กวงไต๋เล่งก้ำ กวงสี่อิมผู่สัก (กราบ)
นำโมไต๋ชื้อ ไต๋ปุย กิวโค่ว กิวหลั่ง กวงไต๋เล่งก้ำ กวงสี่อิมผู่สัก (กราบ)
นำโมฮูก นำโมหวบ นำโมเจ็ง นำโมกิวโค่ว กิวหลั่ง กวงสี่อิมผู่สัก ทั่งจี้โต
โอม เกียล้อฮวดโต เกียล้อฮวดโต เกียล้อฮวดโต ล้อเกียฮวดโต ล้อเกียฮวดโต
ซาผ่อออ เทียงล้อซิ้ง ตี่ล้อซิ้ง นั้งลี่หลั่ง หลั่งลี่ซิ้ง เจ็กเฉียก ใจเอียง ห่วยอุ่ยติ๊ง
นำโมม่อออป่อเยี๊ยปอล้อบิ๊ก (กราบ)

ผลานิสงส์การสวด
1. มีความสุขความเจริญ
2. ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ
3. มีอายุยืนยาว
4. อุดมด้วยสมบัติพัสถาน
5. ตัดวิบากกรรมทั้งในอดีตและปัจจุบัน
6. ปราศจากอุปสรรคนัปการ
7. เสริมสร้างบารมี
8. ส่งเสริมคุณธรรม
9. แคล้วคลาดจากภยันอันตราย
10. เมื่อสิ้นอายุขัย จะได้ไปเข้าเฝ้าองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ. แดนสุขาวดี
อ้างอิงจาก



(ท่านสามารถฟังบทสวยได้ที่http://www.youtube.com/watch?feature=player_detailpage&v=sGyA6OKrsJg ซึ่งศาสนาของเจ้าแม่กวนอิม คือ ศาสนาพฺุ์ทธนิกายมหายาน)
อ้างอิงจาก http://www.7wondersthailand.com/showdetail.asp?boardid=41





โรคจิต


โรคจิต (psychosis)
                คือ กลุ่มโรคชนิดหนึ่งที่มีอาการหลัก 3 ข้อ ดังนี้
1-แยกไม่ได้ระหว่าง ความจริง กับ สิ่งที่คิด (Out of reality)
          ยกตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยโรคจิตคนหนึ่งคิดว่า ถูกมนุษย์ต่างดาวฝังเครื่อง ส่งสัญญาณไว้ในหัว และ ฆ่าครอบครัวของผู้ป่วยทิ้งไปหมดแล้ว พ่อแม่ที่ผู้ป่วยอยู่ด้วยตอนนี้เป็นมนุษย์ต่างดาวปลอมตัวมา   หรือ ผู้ป่วยคิดว่าตนเองมีสัมพันธ์กับบุคคลดังทั้งที่ความจริงตนไม่เคยรู้จักคนดังนั้นๆเลย
2-มีภาวะรับรู้สิ่งแวดล้อมผิดปกติ (Hallucination)
           เช่น ได้ยินเสียงที่ไม่มีจริง เห็นภาพที่คนไม่เห็น 
3-มีพฤติกรรมที่ผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด (Disorganized behaviour) 
           เช่น เดินแก้ผ้า ปีนเสาไฟฟ้า
           อาการเหล่านี้ ถ้าเป็นโรคจิตควรมีทุกข้อ แต่มีบางข้อเช่นข้อ  2 ก็สามารถวินิจฉัยได้ว่าเป็นโรคจิต เช่นกัน
สาเหตุของโรคจิต           
            มีปัจจัยหลายอย่างที่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เป็นโรคจิต แต่ไม่อาจสรุปได้ชัดว่าปัจจัยใดสำคัญที่สุด เช่น
  1-ปัจจัยทางกายภาพ เช่น สารสื่อประสาทในสมอง (Neurotransmitter) มีการทำงานเปลี่ยนแปลงไป โดยสารหลักที่เชื่อกันในปัจจุบันว่าเป็นเหตุที่ทำให้เกิดอาการของโรคจิต คือ Dopamine และ Serotonin โดยพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงทั้งปริมาณ และ การทำงานของสารเหล่านี้
  2-ปัจจัยทางพันธุกรรม พบว่าผู้ที่มีประวัติครอบครัว ที่มีอาการของโรคจิต มีโอกาสเกิดโรคจิตได้ง่ายกว่าคนทั่วไป
  3-ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม เช่น ความเครียดรุนแรง เป็นสาเหตุให้เกิดโรคจิตได้     
การรักษาโรคจิต
               ปัจจุบันที่วิวัฒนาการทางด้านการรักษาก้าวหน้าขึ้นมาก พบว่า การรักษาโรคจิตได้มีการพัฒนาขึ้นตามไปด้วย ต่างจากเมื่อร้อยกว่าปีก่อน ที่เข้าใจว่าโรคจิตคือการถูกไสยศาสตร์ และ ได้มีการรักษาโดยหมอผี คนทรง แต่ในปัจจุบันการรักษามีทั้งการใช้ยาซึ่งมีประสิทธิภาพดีมาก การทำจิตบำบัด และ การรักษาโดยปรับสิ่งแวดล้อม ซึ่งการรักษาเหล่านี้ ต้องใช้ร่วมกัน การใช้การรักษาเพียงบางอย่าง ไม่อาจให้ผลดีที่สุดในการรักษาผู้ป่วยได้ และการรักษาเหล่านี้ จำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญ เช่น จิตแพทย์ คอยดูแล เนื่องจากการกินยาเอง อาจเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้

( ระวังด้วยนะครับเพื่อนๆ )


อ้างอิงจาก  http://www.jobpub.com/articles/showarticle.asp?id=1178

คำอุทาน


คำอุทาน คือ คำที่เปล่งออกมาเพื่อแสดงอารมณ์หรือความรู้สึกของผู้พูด มักจะเป็นคำที่ไม่มีความหมาย แต่เน้นความรู้สึก
และอารมณ์ของผู้พูด เสียงที่เปล่งออกมาเป็นคำอุทานนี้ แบ่งเป็น 3 ลักษณะ

1. เป็นคำ เช่น โอ๊ย ว้าย แหม โถ เป็นต้น
2. เป็นวลี เช่น พุทโธ่เอ๋ย คุณพระช่วย ตายละว้า เป็นต้น
3. เป็นประโยค เช่น ไฟไหมเจ้าข้า ป้าถูกรถชน เป็นต้น
          คำอุทานแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
          1. อุทานบอกอาการ ใช้เปล่งเสียงเพื่อบอกอาการและความรู้สึกต่างๆของผู้พูด เช่น
ร้องเรียก หรือบอกเพื่อให้รู้สึกตัว เช่น แน่น เฮ้ โว้ย เป็นต้น
โกรธเคือง เช่น ชิชะ ดูดู๋ เป็นต้น
ตกใจ เช่น ตายจริง ว้าย เป็นต้น
สงสาร เช่น อนิจจา โถ เป็นต้น
โล่งใจ เช่น เฮ้อ เฮอ เป็นต้น
ขุ่นเคือง เช่น อุวะ แล้วกัน เป็นต้น
ทักท้วง เช่น ฮ้า ไฮ้ เป็นต้น
เยาะเย้ย เช่น หนอย ชะ เป็นต้น
ประหม่า เช่น เอ้อ อ้า เป็นต้น
ชักชวน เช่น นะ น่า เป็นต้น
          2. อุทานเสริมบท คือ คำพูดเสริมขึ้นมาโดยไม่มีความหมาย อาจอยู่หน้าคำ หลังคำหรือแทรกกลางคำ เพื่อเน้นความหมาย ของคำที่จะพูดให้ชัดเจนขึ้น เช่น อาบน้ำอาบท่า ลืมหูลืมตา กินน้ำกินท่า ถ้าเนื้อความมีความหมายในทางเดียวกัน เช่น ไม่ดูไม่แล ร้องรำทำเพลง เราเรียกคำเหล่านี้ว่า คำซ้อน ( ทีนี้เพื่อนๆคงรู้ว่าคำอุทานไม่ใช่คำว่า " ขี่จะ " นะครับ )

อ้างอิงจาก http://studentwork.srp.ac.th/Website/Thai/thai/data_16.html

แม่ไก่โชคร้าย


ที่ฟาร์มไก่หน้าบ้านของชาวนายากจนคน หนึ่ง แม่ไก่กกไข่ได้วันละฟอง และดูแลฟูมฟักทะนุถนอม ไม่ยอมให้อันตรายใดๆเข้าใกล้ลูกไก่ของมันแม้แต่น้อย
วัน หนึ่งเจ้าแม่ไก่ก็ได้ฟักไข่ลูกเจี๊ยบออกมาลืมตาดูโลก แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของเจ้าลูกเจี๊ยบ ทำให้มันชอบเดินแยกตัวออกจากกลุ่มครอบครัวไก่ ไปสำรวจเส้นทางอื่นเสมอ
"เจ้าจะไปไหนน่ะ เจ้าลูกไก่" แมว ตะโกนร้องถาม ลูกไก่รู้สึกตกใจกลัวมาก จึงพยายามวิ่งหนีสุดชีวิต แต่ทว่า มันก็ไม่สามารถหนีพ้นเงื้อมมือของเจ้าแมวเหมียวได้ ถูกตะครุบจับกินทันที
แม่ ไก่ยังไม่รู้ตัวเลยว่า ลูกไก่ของมันหายไป เมื่อมันกลับมาที่ฟาร์มไก่แล้ว ลองนับสมาชิกในครอบครัวดู พบว่า มีลูกเจี๊ยบที่เพิ่งฟักออกมาหายไป จึงสันนิษฐานว่า ถูกเจ้าแมวตัวแสบของเจ้าของฟาร์มกินเป็นแน่แท้ มันจึงโมโห วางแผนบุกเข้าไปเพื่อชำระแค้นเจ้าแมว แต่ระหว่างทางนั่นเอง แม่ไก่ไม่รู้เลยว่า แมวตัวแสบกำลังดักรอให้แม่ไก่เดินออกไป แล้วจับกินลูกไก่ทั้งหมด เมื่อแม่ไก่กลับมา ก็พบแต่เพียงความว่างเปล่า


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
เมื่อที่บ้านกำลังจะมีภัย ก็ควรจะเฝ้าระวังอยู่ที่บ้าน


อ้างอิงจาก http://fable.kippo.com/view/547/


ประวัติเจ้าแม่กวนอิม


พระโพธิสัตว์กวนอิม (ประสูติ 19 เดือนยี่จีน) ชาติสุดท้ายเป็น ราชธิดานาม เมี่ยวซ่าน เดิมเป็นเทพธิดา มาจุติยังโลกมนุษย์เพื่อมาช่วยปลดเปลื้องทุกข์ภัยแก่มวลราชธิดาองค์สุดท้ายของกษัตริย์ เมี่ยวจวง ซึ่งมีราชธิดา 3 องค์ องค์โตชื่อ เมี่ยวอิม องค์รองชื่อ เมี่ยวหยวน เยาว์วัยเป็นพุทธมามกะ รู้แจ้งในหลักธรรมลึกซึ้ง ตั้งพระทัยแน่วแน่จะบำเพ็ญเพื่อหลุดพ้นสังสารวัฏ ออกบวชวันที่ 19 เดือน 9 พระเจ้าเมี่ยวจวงไม่เห็นด้วย จะบังคับให้เลือกราชบุตรเขย เพื่อจะได้สืบทอดราชบัลลังก์ต่อไป แต่เจ้าหญิงเมี่ยวซ่านไม่สนพระทัยเรื่องลาภ ยศ สรรเสริญ อันจอมปลอม แม้จะถูกพระบิดาดุด่าอย่างไร องค์หญิงก็ไม่เคยนึกโกรธเคืองแต่อย่างใด
ต่อมาองค์หญิงสามได้ถูกขับไปทำงานหนักในสวนดอกไม้ เช่น หาบน้ำ ปลูกดอกไม้ ทั้งนี้เพื่อทรมานให้เปลี่ยนความตั้งใจ แต่ก็มีเหล่ารุกขเทวดามาช่วยทำแทนให้ทั้งหมด พระบิดาเมื่อเห็นว่าไม่ได้ผล จึงรับสั่งให้หัวหน้าแม่ชี นำองค์หญิงสามไปอยู่ที่วัดนกยูงขาว และให้เอางานของแม่ชีทั้งวัดมอบให้องค์หญิงทำคนเดียว แต่องค์หญิงมีพระทัยเด็ดเดี่ยว ไม่เกี่ยงงานการต่างๆ ก็มีเหล่าเทพารักษ์มาช่วยทำแทนให้อีก พระเจ้าเมี่ยวจวงเข้าพระทัยว่า พวกแม่ชีไม่กล้าเคี่ยวเข็ญใช้งานหนัก ก็ยิ่งทรงกริ้วหนักขึ้น สั่งให้ทหารเผาวัดนกยูงขาวจนวอดเป็นจุณไป พร้อมกับพวกแม่ชีทั้งวัด มีแต่เจ้าหญิงเมี่ยวซ่านเท่านั้นที่ปลอดภัยรอดชีวิตมาได้
พระเจ้าเมี่ยวจวงทรงทราบดังนั้น จึงรับสั่งให้นำตัวราชธิดาไปประหารชีวิต เทพารักษ์คอยคุ้มครองเจ้าหญิงอยู่ โดยเนรมิตทองทิพย์เป็นเกราะห่อหุ้มตัว คมดาบของนายทหารจึงไม่อาจระคายพระวรกาย ดาบหักถึง 3 ครั้ง 3 ครา พระบิดาทรงกริ้วยิ่งนัก โดยเข้าพระทัยว่านายทหารไม่กล้าประหารจริง จึงให้ประหารนายทหารแทน แล้วรับสั่งให้จับเจ้าหญิงไปแขวนคอ ทว่าผ้าแพรที่แขวนคอก็ขาดสะบั้นลงอีก
ทันใดนั้นปรากฏมีเสือเทวดาตัวหนึ่งได้นำเจ้าหญิงขึ้นพาดหลังแล้วเผ่นหนีไปที่เขาเซียงซัน ต่อมา เทพไท่ไป๋ได้แปลงร่างเป็นชายชรามาโปรดเจ้าหญิง ชี้แนะเคล็ดวิธีการบำเพ็ญเพียรเครื่องดับทุกข์ จนสามารถบรรลุมรรคผลสำเร็จธรรม วันที่ 19 เดือน 6 ข้างฝ่ายพระบิดาเข้าพระทัยว่า เจ้าหญิงถูกเสือคาบไปกินเสียแล้ว จึงไม่ได้ติดใจตามราวีอีก
ต่อมาไม่นานบาปกรรมที่พระองค์ก่อไว้ส่งผล เกิดป่วยด้วยโรคร้ายแรง ไม่มียารักษาให้หายได้ เจ้าหญิงเมี่ยวซ่านได้ทรงทราบด้วยญาณวิถีว่า พระบิดากำลังประสบเคราะห์กรรมอย่างหนัก ด้วยความกตัญญูกตเวทีเป็นเลิศ มิได้ถือโทษโกรธการกระทำพระบิดาแม้แต่น้อย ทรงได้สละดวงตาและแขนสองข้าง เพื่อรักษาพระบิดาจนหายจากโรคร้าย ว่ากันว่า ภายหลังสำเร็จอรหันต์ ได้ดวงตาและพระกรคืน เคยแสดงปาฏิหารย์เป็นปางกวนอิมพันมือ องค์หญิงเมี่ยวซ่านนั้น ตอนแรกเป็นชาวพุทธ ตอนหลังเทพไท่ไป๋ได้มาโปรด ชี้แนะหนทางดับทุกข์ เหตุนี้พระโพธิสัตว์กวนอิมจึงเป็นเทพทั้งฝ่ายพุทธและฝ่ายเต๋าในเวลาเดียวกัน



อ้างอิงจาก http://atcloud.com/stories/37466

บันทึกประจำวันที่6/2/56

ฉันตื่นเช้าล้างหน้าแปรงฟัน กินข้าวเช้าและขึ้นรถไปโรงเรียน เมื่อไปถึงโรงเรียนก็เอากระเป๋าเก็บแล้วก็ไปเข้าแถวที่หน้าเสาธง พอเสร็จพิธีหน้าเสาธงแล้วก็เดินเข้าโฮมรูมแล้วไปเรียนวิชาต่างๆ พอถึงพักกลางวันก็เดินไปโรงอาหารเพื่อรับประทานอาหารซึ่งวันนี้มีพี่ๆจากมหาวิทยาลับพะเยามาแสดงเป็นเงาะป่าด้วยซึ่งเพื่อนของฉันได้ถ่ายรูปด้วย แต่ฉันไม่ถ่าย ( อายนะ ) พอเสร็จก็เรียนวิชาต่อไป แล้วก็เข้าหอประชุมและกลับบ้าน. (วันพรุ่งโรงเรียนจัดวันวาเลนไทน์จะมีคนเอาดอกกุหลาบให้ไหมนะ )

วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2556

วันที่ไปเข้าค่ายลูกเสือปั่นจักรยานเดินทางไกล

วันที่ 24 เดือนมกราคม พ.ศ.2556 เป็นวันที่ลูกเสือโรงเรียนดอกคำใต้วิทยาคม ต้องไปเข้าค่ายที่บ้านจำไก่ ใกล้ๆกับวัดพระธาตุน้อย ในวันนั้นฉันตั้งนาฬิกาปลุกให้แม่ของฉันเวลา 5 โมงเช้า แล้วเพื่อนของฉันก็จะมารับฉันเวลา 6 โมงเช้า ซึ่งคุณครูนัดเวลา 7 โมงเช้า ในวันนั้นฉันเตรียมตัวเป็นอย่างดี ตื่นเช้ามาฉันก็อาบน้ำแต่งตัว เสร็จแล้วก็รับประทานอาหารเข้า แล้วเพื่อนก็มารับที่บ้าน ( ด้วยจักรยาน ) แล้วเราก็ไปโรงเรียนด้วยกัน พอถึง 7 โมงเช้าตามที่นัดหมาย แต่ไม่เป็นไปอย่างที่คิดงานดำเนินประมาณ 8 โรงเช้า ซึ่งคุณครูปล่อยนักเรียนออกไปจากโรงเรียนทีละกลุ่มห่างกันประมาณ 15 นาที แล้วฉันก็เป็นกลุ่มที่ได้ออกไปประมาณที่ 5 - 6 ที่ได้ออกไปจากโรงเรียนเวลาประมาณ 9.15 น. ซึ่งปั่นออกไปด้านหลังโรงเรียนพอปั่นไปได้ในระยะทางหนึ่งก็เหนื่อยมาก พอไปถึงฐานที่ 1 ลูกเสือและเนตรนารี รอคิวต่อเข้าฐานยาวเลย แล้วหมู่ของฉันก็พักกินขนมกัน และแล้วก็ได้เข้าไปในฐานที่ 1 ซึ่งครูจะใช้ดินสอพองทาหน้าให้ มีตั้ง 5 สีแหนะ ฉันก็กลัวเป็นสิวมากกว่าเดิม เพราะปกติก็มากอยู่แล้ว แล้วก็ออกจากฐาน 1 ขี่จักรยานไปในระยะทางที่ไกลแล้วร้อนแบบสุดๆ ไปเลย พอเข้าไปในฐานที่ 2 ก็ต้องแต่แถวอีก ซึ่งฉันก็ได้เป็นตัวแทนของกลุ่มออกไปปฎิบัติการ คุณครูก็ให้เอาผ้าพันคอปิดตาฉันแล้วมองอะไรไม่เห็นเลย พอไปถึงจุดๆหนึ่งคุณครูก็ให้ฉันจับอะไรก็ไม่รู้ อยู่ในขวดพลาสติก แต่ฉันคิดว่าเป็นงูฉันจึงกลัวมากแต่ทีไหนได้เป็นเข็มขัดนั่นเอง พอผ่านฐานที่ 2 ก็ปั่นจักรยานไปอีกซึ่งเป็นทางที่ทุรกานดารมาก และถนนก็เป็นดินเป็นระยะทางที่เหนื่อยและล้ามาก พอไปถึงฐานที่ 3 ให้ช่วยกันแก้ระเบิด ( ปลอม ) แต่ก็กู้ไม่สำเร็จจริงให้วิ่งเข้าไปในไร่นาซึ่งให้เวลา 10 วินาทีให้ไปแอบอย่าให้ครูเห็น แล้วพวกเราก็ไปแอบอยู่หลังกอฟางแล้วก็กลับไปที่ฐานแล้วโดยทาแป้งหน้าขาวเหมือนวอกเลย พอปั่นไปฐานต่อไปก็เหนื่อยมากจากที่รวดเร็ว กลายเป็นช้ามาก พอไปถึงฐานที่ 4 ( โหดสุด) ให้เข้าไปในอุโมงซึ่งด้านบนเป็นหมามุ่ยและมีงูปลอม
อยู่ด้วยและลูกโป่งซึ่งพอใครไปทับเข้าก็ จะแตกเสียงดังมาก แล้วก็ผ่านพ้นไป พอไปฐานที่ 5 ได้เล่นสกีบกแล้วหกล้มตั้ง 3 ครั้ง 3 หล เจ็บกันไปหมดเลย พอปั่นไปถึงหน้าผาเทวดา( จำลอง ) ฉันเหนื่อยมากจนต้องเลิกปั่นและเดินขึ้นไปบนเขาเพราะปั่นมันจุเหนื่อยกว่าเดิน เพราะขึ้นเขา พอไปในระยะทางหนึ่งโซ่ก็หยุดและขาดออกครึ่งหนึ่ง พอไปถึงบนเขามีคุณครูใจดี และเพื่อนๆ ก็ช่วยกันซ่อมให้ แล้วไปรายงานตัวและเปิด - ปิดกอง แล้วก็เลิก ซึ่งฉันก็ขึ้นรถยนต์มากับเพื่อนมาส่งที่หน้าอำเภอแล้วฉันกับเพื่อนอีก 2 คนก็ปั่นจักรยานกลับบ้านใครบ้านมัน The end. (ในเรื่องนี้จะสอนให้ลุกเสือทุกคนมีความรักสามัคคีกัน ความอดทน มีระเบียบวินัยในตนเอง ) แต่จะผ่านมาเกลือบตายแน่. ขอบคุณทุกท่านที่อ่านทุกคน

วันศุกร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2556

เรื่องราวในชีวิตประจำวันของฉัน

ในชีวิตประจำวันฉันตื่นมาฉันก็อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ฉันก็รับประทานอาหารและก็ขึ้นรถไปโรงเรียน เมื่อไปถึงโรงเรียนก็เอากระเป๋าเก็บและก็ไปเข้าแถว เสร็จแล้วก็ไปเรียนวิชาต่อไป เสร็จแล้วก็รับประทานอาหารกลางวันซึ่งโรงเีรียนของฉันมีร้านอาหารอยู่ 4 ร้าน แต่ฉันมักกินร้างที่ 1 และ 2 เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้วก็ูพูดคุยหรือเล่นกับเพื่อนในห้อง แล้วไปเรียนวิชาต่อไป เสร็จแล้วก็ทำความสะอาดห้องแล้วก็กลับบ้าน พอดึกก็อาบน้ำเข้านอน จัดตารางสอน สวดมนต์ไหว้พระแล้วก็หลับสนิท.

ประวัติของฉัน


ฉันเกิดเมื่อวันอังคารที่ 21 กันยายน พ.ศ.2542  ตอนนี้ศึกษาอยู่ชั้นม.2/2 โรงเรียนดอกคำใต้วิทยาคม คุณครูประจำชั้นชื่อ นาง กรรณิการ์ มาตรมูล นี่คืิอประวัติแค่ย่อๆนะครับ